Financial Literacy นั้นสำคัญไฉน ทำไมต้องรู้ทัน | เงินออมสร้างชาติ 10 (Financial Literacy)

1. ความหมายและขอบเขตของ Financial Literacy
Financial Literacy คือความสามารถที่ผสมผสานระหว่างความรู้ทางการเงินและทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้นั้นในชีวิตจริง เพื่อวางแผน บริหาร และตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อป้องกันตนเองจากความเสี่ยงทางการเงินต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รู้หรือความเข้าใจผิด
ขอบเขตของ Financial Literacy
- การวางแผนการเงินส่วนบุคคล : รู้จักการตั้งงบประมาณ, จัดสรรรายได้และรายจ่าย, สร้างเงินออม และเงินสำรองฉุกเฉิน
- การบริหารหนี้สิน : เข้าใจประเภทหนี้ต่าง ๆ การบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการหลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และดอกเบี้ยสูง
- ความรู้เรื่องการลงทุน : รู้จักผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ เช่น หุ้น, กองทุนรวม, ตราสารหนี้, สินทรัพย์ดิจิทัล และเข้าใจความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เกี่ยวข้อง
- การบริหารความเสี่ยงและการประกันภัย : เข้าใจความจำเป็นของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อปกป้องทรัพย์สินและรายได้
- การรับมือกับการหลอกลวงและมิจฉาชีพทางการเงิน : มีความรู้เพื่อป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อของกลโกงทางการเงิน
2. บทบาทของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดทุนในประเทศไทย
ก.ล.ต. คือใคร?
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เป็นหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ดูแลและกำกับดูแลตลาดทุนในประเทศไทย เพื่อให้ตลาดเป็นธรรม โปร่งใส ป้องกันการฉ้อโกง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนทุกระดับ
ตลาดทุนแบ่งเป็นตลาดหลัก 2 ประเภท
- ตลาดแรก (Primary Market) : ตลาดที่บริษัทหรือองค์กรออกหุ้นหรือพันธบัตรใหม่ เพื่อระดมทุนโดยตรงจากประชาชนหรือนักลงทุน
- ตลาดรอง (Secondary Market) : ตลาดที่มีการซื้อขายหุ้นหรือพันธบัตรที่ออกมาแล้วในตลาดแรก ผ่านตลาดหลักทรัพย์ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถซื้อขายกันได้ตามราคาตลาด
ก.ล.ต. ดูแลอะไรบ้าง?
- กำกับบริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม ธนาคารที่มีบริการลงทุน
- ควบคุมและป้องกันการทุจริตในตลาดทุน
- ให้ความรู้และส่งเสริมทักษะทางการเงินแก่ประชาชน
- ดูแลเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงคริปโตเคอร์เรนซี
3. ทำไม Financial Literacy ถึงสำคัญ?
การใช้เงินในชีวิตประจำวันอย่างมีสติ
- ทุกกิจกรรมตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนต้องใช้เงิน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าขนส่ง
- การรู้จักบริหารเงินช่วยให้เราวางแผนใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ใช้จ่ายเกินตัว
ปัญหาเงินเฟ้อ (Inflation)
- เงินเฟ้อทำให้มูลค่าของเงินลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ถ้าวันนี้เงิน 100 บาท ซื้อของได้ 1 ชิ้น ในอนาคตเงิน 100 บาท อาจซื้อของชิ้นเดียวกันไม่ได้แล้วเพราะราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
- การเก็บเงินสดโดยไม่ลงทุนใด ๆ จึงเท่ากับเสียโอกาสในการเพิ่มมูลค่าเงินให้สูงกว่าค่าเงินเฟ้อ
การมีเงินฉุกเฉิน
- เงินฉุกเฉิน คือเงินสำรองที่เก็บไว้สำหรับใช้ในสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย วิกฤตเศรษฐกิจ
- การมีเงินฉุกเฉิน 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายเป็นมาตรฐานที่แนะนำ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่เดือดร้อน
การแยกประเภทของหนี้
- หนี้ดี (Good Debt) : หนี้ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้การศึกษา เพราะสามารถสร้างรายได้หรือเพิ่มโอกาสในอนาคต
- หนี้ไม่ดี (Bad Debt) : หนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น หนี้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยสูงและไม่มีผลตอบแทนในระยะยาว
ป้องกันการถูกหลอกลวง
- ผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการเงินมักตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่หลอกลวงลงทุนในโครงการหรือสินทรัพย์ที่ไม่โปร่งใส
- Financial Literacy ช่วยให้เราสามารถแยกแยะข้อมูลจริง-เท็จได้ดีขึ้น
4. การวางแผนการเงินอย่างละเอียด
การจดบันทึกรายรับรายจ่าย
- เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมการใช้เงิน
- ช่วยให้เห็นภาพรวมว่ารายได้ของเราไปไหนหมด มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือไม่
- ตัวอย่างเช่น จดค่าเดินทาง ค่าอาหาร กาแฟ บุหรี่ รายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะสมจนเป็นจำนวนมาก
แยกแยะ Need กับ Want อย่างเข้มข้น
- Need (ความจำเป็น) : อาหาร น้ำ เสื้อผ้า ที่พัก ค่าเดินทางไปทำงาน
- Want (ความอยาก) : กาแฟแพง ๆ ของแบรนด์ บุหรี่ อุปกรณ์ไฮเทค ของใช้ฟุ่มเฟือย
- การรู้จักจำกัดความอยากจะช่วยเพิ่มเงินออมและลดความเครียดจากการเงินได้
เทคนิคการออมเงิน
- ใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น ตั้งโอนเงินเดือนเข้าสู่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ก่อนใช้จ่าย
- เก็บเงินแบงค์ 50 หรือ 100 บาทสะสมเป็นก้อนใหญ่
- สร้างเป้าหมายเงินออม เช่น เงินออมเพื่อการศึกษาต่อ, เงินซื้อบ้าน
การบริหารเงินอย่างมีวินัย
- เริ่มจากจดบันทึกและประเมินรายจ่ายทุกสัปดาห์หรือเดือน
- ตัดสินใจลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ลดกาแฟแก้วละ 100 บาทเหลือสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- เปลี่ยนรายจ่ายฟุ่มเฟือยเป็นเงินออมและลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม
5. การลงทุนและความรู้ที่ต้องรู้ (3 รู้)
รู้เรา (รู้ตัวเอง)
- การประเมินตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ใจร้อนหรือใจเย็นกับความผันผวนของตลาด
- เข้าใจเป้าหมายทางการเงิน เช่น การเก็บเงินซื้อบ้านใน 5 ปี หรือลงทุนเพื่อเกษียณใน 30 ปี
รู้เขา (รู้จักผลิตภัณฑ์การลงทุน)
- ทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น
- หุ้น: เจ้าของกิจการ รับผลตอบแทนจากราคาหุ้นและเงินปันผล มีความเสี่ยงสูง
- ตราสารหนี้: เจ้าหนี้ รับดอกเบี้ย มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น
- กองทุนรวม: รวมเงินลงทุนจากหลายคนบริหารโดยมืออาชีพ
- สินทรัพย์ดิจิทัล: เช่น คริปโต มีความผันผวนสูง
รู้ระวัง (รู้จักป้องกันความเสี่ยง)
- ระวังความเสี่ยงในระดับต่าง ๆ และเตรียมกลยุทธ์รับมือ
- อย่าหลงเชื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงในเวลาสั้น ๆ
- ใช้การกระจายการลงทุนและลงทุนตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้
6. วิธีการลงทุนที่แนะนำ
Dollar Cost Averaging (DCA)
- ลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันเป็นประจำ เช่น ทุกเดือน 500 บาท
- ลดความเสี่ยงจากการซื้อสินทรัพย์ในราคาสูง เพราะจะซื้อได้มากขึ้นเมื่อราคาต่ำ และน้อยลงเมื่อราคาสูง
- สร้างวินัยการลงทุนระยะยาว เหมาะกับมือใหม่และคนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดตลอดเวลา
Asset Allocation (การกระจายเงินลงทุน)
- แบ่งเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และเงินสด
- ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนของสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง
- ตัวอย่าง: รับความเสี่ยงสูงก็ใส่หุ้นเยอะ รับความเสี่ยงต่ำก็เน้นตราสารหนี้และเงินสดมากขึ้น
การลงทุนตามช่วงอายุ
- วัยหนุ่มสาว: สามารถรับความเสี่ยงสูง ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว
- วัยกลางคน: เริ่มลดความเสี่ยง โดยเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้และเงินสด
- วัยเกษียณ: เน้นลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาทุนและรับรายได้ประจำ
ตัวอย่างเป้าหมายเงินล้าน
- อายุ 20 ปี ลงทุนเดือนละ 208 บาท ผลตอบแทน 8% ต่อปี 40 ปี ได้เงินล้าน
- อายุ 45 ปี ต้องลงทุนเดือนละ 3,700 บาท ผลตอบแทน 5% ต่อปี 15 ปี ถึงเงินล้าน
7. มิจฉาชีพในวงการลงทุนและวิธีป้องกัน
รูปแบบมิจฉาชีพ
- แชร์ลูกโซ่: หลอกให้ลงทุนแล้วชวนคนอื่นมาเพิ่ม เพื่อให้เห็นผลตอบแทน แต่สุดท้ายระบบล่ม
- Romance Scam: หลอกให้เหยื่อไว้ใจและลงทุนตาม
- หลอกลงทุนคริปโต หุ้นปลอม หรือโครงการที่ดูดีแต่เป็นการหลอกลวง
สัญญาณเตือน
- ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น 12% ต่อเดือน หรือได้เงินทุกวัน
- เร่งรีบให้ลงทุนทันที บอกว่าโอกาสหมดแล้ว
- ใช้ชื่อบุคคลหรือบริษัทปลอม หรือโฆษณาเกินจริง
วิธีป้องกัน
- ตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ ก.ล.ต. เช่น SEC CHECK FIRST
- หลีกเลี่ยงการโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดาที่ไม่น่าเชื่อถือ
- สร้างสติ ไม่โลภและไม่เชื่อคำพูดเกินจริง
8. การบริหารหนี้และการใช้บัตรเครดิต
ประเภทหนี้
- หนี้ดี: ใช้กู้เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินหรือรายได้ เช่น บ้าน รถ การศึกษา
- หนี้ไม่ดี: หนี้ฟุ่มเฟือย ดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้บัตรเครดิต ใช้เกินตัวจนไม่มีเงินจ่าย
การใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด
- ใช้เพื่อความสะดวก โปรโมชั่นและสะสมแต้ม
- จ่ายเต็มจำนวนทุกเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยแพง
- หลีกเลี่ยงการรูดเกินตัวเพื่อไม่ให้เกิดหนี้บานปลาย
9. คำแนะนำและข้อคิดสุดท้าย
- เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการวางแผนการเงินและสร้างวินัยออมเงิน
- ศึกษาและเข้าใจผลิตภัณฑ์การเงินที่สนใจลงทุน
- รู้จักประเมินความเสี่ยงของตนเองและเลือกลงทุนอย่างเหมาะสม
- ใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยง เช่น suitability test ของ ก.ล.ต.
- หมั่นตรวจสอบข้อมูลก่อนลงทุน และป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพ
- แยกเงินสำรองฉุกเฉินกับเงินลงทุนอย่างชัดเจน
- ทักษะ Financial Literacy คือกุญแจสู่ความมั่นคงทางการเงินและชีวิตที่มั่งคั่ง