กองทุนหุ้นญี่ปุ่น อยากลงทุนตอนนี้ ต้องเลือกกองไหน ?

ในปี 2025 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์จาก Reuters คาดการณ์ว่าดัชนี Nikkei 225 จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 40,000 จุดภายในสิ้นปี 2024 และแตะ 42,500 จุดภายในสิ้นปี 2025 ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตนี้ ได้แก่ การปฏิรูปองค์กรที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่ง เช่น Hitachi, Sony และ Toyota ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลัก และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดย GDP คาดว่าจะเติบโตสูงกว่า 1.0% ในปี 2025 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาคเอกชนและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยเสี่ยง เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของตลาด นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นจาก 0.5% เป็น 1% ภายในไตรมาสแรกของปี 2026
ถึงแม้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะมีแนวโน้มเติบโตดี แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามเช่นกัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงกำลังซื้อของลูกค้า สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกลับมาปะทุอีกครั้ง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
โดยสรุป ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตจากการปฏิรูปองค์กรและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องพิจารณา นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

เปรียบเทียบกองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่น่าสนใจ

SCBNK225

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล
ระดับความเสี่ยง : 6

KFJPINDX-A

กองทุนเปิดกรุงศรีเจแปนอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ ชนิดสะสมมูลค่า

ระดับความเสี่ยง : 6

K-JPX-A(A)

กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น-A ชนิดสะสมมูลค่า

ระดับความเสี่ยง : 6

ES-JE

กองทุนเปิดอีสท์สปริง Japan Equity

ระดับความเสี่ยง : 6

T-JapanEQ

กองทุนเปิดธนชาตเจแปน อิควิตี้

ระดับความเสี่ยง : 6

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลตอบแทน

ถ้าหากเทียบกันที่ระหว่างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี T-JapanEQ ให้ผลตอบแทนมากที่สุด อยู่ที่ 9.66 % รองลงมา K-JPX-A(A) อยู่ที่ 7.29 % ส่วน ES-JE ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด อยู่ที่ 2.59% แต่!ว่าเรามองเพียงแค่ผลตอบแทนย้อนหลังเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมองปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย

ความเสี่ยง

ในมุมมองของเรื่องความเสี่ยงอาจมองได้ว่า กองทุนที่มีค่า SD ยิ่งต่ำยิ่งดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากองทุนมีความผันผวนของผลตอบแทนน้อย โดย T-JapanEQ มีค่า SD ต่ำ อยู่ที่ 16.70 และรองลงมาคือ K-JPX-A(A) มีค่า SD อยู่ที่ 20.53

ค่าธรรมเนียม

กองทุนที่มีอัตราค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดคือ K-JPX-A(A) อยู่ที่ 0.61% และรองลงมาคือ KFJPINDX-A อยู่ที่ 1.04% ส่วนกองทุนที่มีอัตราค่าใช้จ่ายมากที่สุด คือ T-JapanEQ อยู่ที่ 1.35 % ถึงแม้ว่า T-JapanEQ จะให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี มาก แต่ก็ถือได้ว่ามีอัตราค่าใช้จ่ายของกองทุน ที่มากเช่นกัน

ถ้าหากต้องเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่นเพียงกองเดียว แอดมินเลือก K-JPX-A(A) เนื่องจากเป็นกองทุนที่ ให้ผลตอบแทนย้อนหลังดี ถึงแม้จะไม่ได้สูงมากที่สุดก็ตาม และอัตราค่าใช้จ่ายของกองทุนอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อย จึงทำให้แอดมินสน K-JPX-A(A) เป็นพิเศษ
เลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีแบบสม่ำเสมอมากกว่ากองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นแค่บางปี ซึ่งจะทำให้เราเห็นผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนนั้นดูน่าสนใจและน่าลงทุนมากขึ้น

**จากที่กล่าวมาเป็นเพียงข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นการใช้ Fund Compare ของทาง WealthMagik เพียงเท่านั้น การเลือกกองทุนที่จะลงทุนต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น การเงิน หรือ สถานการณ์ปัจจุบัน รวมกัน ฉะนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน

หากใครอยากดูข้อมูลเปรียบเทียบของกองทุนหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มเติมก็สามารถใช้ฟังก์ชัน Fund Compare ในเมนู Fund Info ของทาง WealthMagik และเลือกกองทุนที่ต้องการเปรียบเทียบตามที่ต้องการได้เลย

ศึกษาข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมด้วยเครื่องมือ Fund Info

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

WealthMagik – ลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

โทร 02 – 437 – 1588

Line : @WealthMagik หรือ คลิกที่นี่ 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

WealthMagik – ลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

โทร 02 – 437 – 1588

Line : @WealthMagik หรือ คลิกที่นี่