Thailand Web Stat

SCBAM : Morning Update ประจำวันที่ 4 มกราคม 2567

🟣Morning Update by SCBAM

📍Market update📍

📊 Major Equity Indices: S&P500-0.80%, NASDAQ-1.18%, STOXX600-0.86%, HSCEI-0.77%, CSI300-0.24%, KOSPI-2.34%, NIFTY-0.69%, SET-0.26%, VNINDEX+1.10%, TH Reits+0.02%, SG Reits-0.20%

📊 Sector Return: Energy-XLE(+1.63%), Utilities-XLU(+0.37%), Healthcare-XLV(-0.17%), Technology-XLK(-1.02%), Consumer Discretionary-XLY(-2.02%), Real Estate-XLRE(-2.37%)

📊 USBY2Y 4.33%, USBY10Y 3.92%, WTI $72.70/bbl, Gold $2,041.49/oz, DXY 102.46

📰 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อเป็นวันที่สองตั้งแต่เปิดปีใหม่ นำลงโดยกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจากแรงขายทำกำไร ขณะที่กลุ่มหุ้นพลังงานปรับบวกสวนตลาดได้จากราคานำ้มันที่ปรับตัวขึ้นจากความกังวลในทะเลแดงและลิเบียลดการผลิต

📰 รายงานการประชุม Fed (FOMC minutes) เมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค. ตอกยํ้าถึงโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้แต่ยังมีความไม่แน่นอนในจังหวะเวลาและจำนวนการลดสูง ซึ่งต้องพิจารณาข้อมูลที่จะทยอยออกมาเพิ่มเติม (Data Dependent) เป็นสำคัญ นอกจากนี้คณะกรรมการบางคนเริ่มมีการพูดถึงเรื่องการหยุดลดขนาดงบดุล (QT) ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีเพิ่มเติมในมิติสภาพคล่อง

⏭️ เราแนะนำให้ติดตามรายงานดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะเริ่มทยอยรายงานสัปดาห์หน้า หากยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่ออาจกลับมาช่วยหนุนตลาดฟื้นตัว แต่หากเริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาดอาจกดดันตลาดหุ้นระยะสั้น แต่น่าจะช่วยลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยมากถึง 6 ครั้งของตลาดลงไปบ้าง

📰 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐฯ (ISM Manufacturing) เดือนธ.ค. ออกมาสูงกว่าคาดและเดือนก่อน (47.4 vs 47.1 vs 46.7) แต่ยังคงตํ่ากว่าระดับ 50 จุดเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน สะท้อนภาพการผลิตยังมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่การเปิดรับตำแหน่งงานว่างใหม่ (JOLTs) ออกมาตํ่ากว่าคาดและเดือนก่อน (8.79M vs 8.85M vs 8.8) เป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องและตํ่าสุดตั้งแต่ มี.ค. 2021 บ่งชี้ภาพแรงงานที่เริ่มชะลอลงบ้าง

📰 กลุ่มรถไฟฟ้าทยอยรายงานตัวเลขการผลิตและส่งมอบรถในไตรมาสสี่และทัังปี 2023 โดยรวมถือว่าดีกว่าคาด เริ่มจากค่ายรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ อย่าง Tesla รายงานการผลิตและการส่งมอบรถ ของ4Q23 ได้ 494,989 คันและ 484,507 คันตามลำดับ ส่วนตัวเลขทั้งปี 2023 ผลิตรถได้ 1,845,985 คัน (+35%YoY) และส่งมอบรถได้ 1,808,581 คัน (+38%YoY) ถือว่าทำได้ตามเป้าที่ประกาศว่าจะส่งมอบรถอย่างน้อย 1.8 ล้านคันในปีที่ผ่านมา

📰ส่วนค่ายรถไฟฟ้าจากจีน BYD สรุปยอดขายรถทั้งปี 2023 จำนวน 3,012,906 คัน (+62%YoY) โดยแบ่งเป็นรถ BEV จำนวน 1,574,822 คัน และแบบ PHEV จำนวน 1,438,084 คัน ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ 3 ล้านคันส่วน NIO ปี 2023 ส่งมอบรถยนต์รวม 160,038 คัน (+31%YoY) และ Xpeng ส่งมอบรถไตรมาสสี่ที่ 60,158 คัน (+171%YoY, +50%QoQ) เป็นสถิติสูงสุดของบริษัทและอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2023 ส่งมอบรถรวม 141,601 คัน (+17%YoY) ขณะที่ Li Auto ส่งมอบรถยนต์ 131,805 คัน (+185%YoY, +25%QoQ) เป็นสถิติสูงสุดของบริษัทและเกินเป้าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับปี 2023 ส่งมอบรถรวม 376,030 คัน (+182%YoY)

⏭️ รายงานข้างต้นสะท้อนภาพการฟื้นตัวของอุปสงค์รถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามแนะนำให้ติดตามการรายงานงบของกลุ่มรถไฟฟ้าเพิ่มเติมต่อไปก่อน เพื่อดูอัตรากำไรว่าเป็นอย่างไรบ้างหลังเผชิญกับสงครามราคาในปีที่ผ่านมา รวมถึงเป้าหมายในการส่งมอบรถสำหรับปีนี้ที่อาจเติบโตแต่ชะลอตัวลงจากนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐของสหรัฐฯและยุโรปบางประเทศที่เริ่มหมดไปในปีนี้

📰 ตลาดหุ้นเอเชียเมื่อวานปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ตาม sentiment ลบจากฝั่งสหรัฐฯ วันก่อนหน้าและดัชนี Dollar index ที่กลับมาแข็งค่ากดดันกระแสเงินทุนต่างชาติ ยกเว้นตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวบวกสวนภูมิภาค

📂 BofA Global Research: Global Earnings Revision Ratio ฉบับล่าสุดเดือนม.ค. (02/01/24) เห็นสัญญาณบวกจากการปรับคาดการณ์กำไรดังนี้

1) Global Earnings Revision Ratio ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 0.66 เป็น 0.82 (Ratio ดังกล่าวเป็นสัดส่วนระหว่างจำนวนหุ้นที่ถูกปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้นขึ้นเทียบกับจำนวนหุ้นที่ถูกปรับคาดการณ์กำไรต่อหุ้นลง) โดยสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า Ratio แถวระดับปัจจุบันหากมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อ ดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI) จะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 9.8% ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

2) พิจารณารายภูมิภาค ทางฝั่งเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากที่สุดจาก 0.49 เป็น 0.69 และสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 0.72 เป็น 0.93 แต่ทางฝั่งยุโรปกลับปรับตัวลงเล็กน้อยจาก 0.73 เป็น 0.70 ขณะที่หากพิจารณารายประเทศพบว่าอินเดียมี Ratio สูงสุดที่ 1.26 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.02 สอดคล้องกับญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นจาก 1.05 เป็น 1.25 สะท้อน earnings momentum ที่ยังดีต่อเนื่อง

3) พิจารณารายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นกลุ่ม Diversified Financials (0.57 to 1.11), Semiconductor (0.41 to 0.79), Materials (0.34 to 0.66), Healthcare (0.58 to 0.81) และ Utilities (0.76 to 0.95) มีการเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าสูงสุด ขณะที่ Energy (1.31 to 0.59) มีการปรับลงมากที่สุด

🔰Outlook & Implication

✅️สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงปานกลาง-สูงแนะนำลงทุนกองทุนตราสารหนี้โลก SCBINCA ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคาตราสารหนี้ที่มักปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลัง Fed จบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น, อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีและสำหรับกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะยามที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า

✅️ตลาดหุ้นไทยถึงแม้จะปรับตัวลงแย่กว่าภูมิภาคและหุ้นทั่วโลกตลอดปี 2566 แต่กลับมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อลุ้นการฟื้นตัวในปี 2567 จากปัจจัยสนับสนุน 1) ทิศทางหลัง Fed จบรอบดอกเบี้ยขาขึ้นแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าและตลาดหุ้นไทยมักฟื้นตัวขึ้นได้ 2) แนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้นจากปีนี้ สวนทางหลายประเทศทั่วโลกที่จะชะลอตัวลง 3) คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนที่จะกลับมาขยายตัวขึ้นอีกครั้งในปี 2567 หลังจากหดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา 4) ระดับมูลถูกกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี น่าสนใจลงทุน

 

 

แหล่งที่มา : SCBAM

แหล่งข้อมูล : บล.เว็ลธ์ เมจิก