Morning Update by SCBAM (24/4/2025)
Market update
Major Equity Indices: S&P500+1.67%, NASDAQ+2.50%, Russell2000+1.53%, STOXX600+1.78%, Nikkei225+1.89%, HSCEI+2.08%, CSI300+0.08%, KOSPI+1.57%, NIFTY+0.67%, SET+0.85%, VNINDEX+1.16%, TH Reits+0.80%, SG Reits+1.50%, Global REITs-0.53%
Sector Return: Technology-XLK(+2.90%), Consumer Discretionary-XLY(+2.23%), Communication Services-XLC(+1.60%), Industrials-XLI(+1.25%), Energy-XLE(-0.18%), Consumer Staples-XLP(-0.57%)
USBY2Y 3.87%, USBY10Y 4.38%, WTI $62.27/bbl (-3.2%), Gold 3,288.34/oz(-2.7%), DXY 99.84
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวบวกขึ้นต่อเนื่อง หลังความตึงเครียดการเจรจาการค้าลดลง โดยปธน.Trump ส่งสัญญาณอาจปรับลดภาษีศุลกากรกับจีนในระยะอันใกล้ เนื่องจากให้ความเห็นว่า ภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนระดับ 145% นั้น ถือว่าสูงมากไม่ยั่งยืนและจะปรับลดลงต่ำกว่านั้น แต่ไม่ถึงระดับ 0%
คุณ Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และจีนจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญ โดยระบุว่า หากทั้งสองประเทศต้องการปรับสมดุลทางการค้า ก็ควรที่จะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น โดยยืนยันว่านโยบายของปธน.Trump ไม่ได้มุ่งหวังที่จะแยกเศรษฐกิจทั้งสองประเทศออกจากกัน
รายงานข้างต้น สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า นโยบายการขึ้นภาษีของคุณ Trump เป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจาทางการค้ามากกว่าจะปฏิบัติจริงและทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงถดถอย ดังนั้น หากมีพัฒนาการเชิงบวกออกมาต่อเนื่อง น่าจะช่วยหนุนโมเมนตัมของตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อในระยะสั้น
คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้สั่งปรับบริษัท Apple เป็นเงิน 500 ล้านยูโร และบริษัท Meta 200 ล้านยูโร เนื่องจากละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดของสหภาพยุโรป (EU) ภายใต้กฎหมายควบคุมตลาดดิจิทัล (DMA)
สำหรับการกระทำผิดของ Apple นั้นเกี่ยวข้องกับการจำกัดการแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก App Store และการใช้ข้อจำกัดทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ที่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบของ EC ส่วน Meta ถูกปรับเนื่องจากบังคับให้ผู้ใช้ Facebook และ Instragram ยินยอมแบ่งปันข้อมูลหรือจ่ายเงินเพื่อใช้บริการแบบไม่มีโฆษณา ทั้งนี้ EC สั่งให้ Apple ต้องอนุญาตให้ผู้พัฒนาแอปแจ้งลูกค้าเกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ ได้อย่างอิสระ และ Meta ต้องยุติการบังคับให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลเพื่อแลกกับการใช้บริการฟรี
SK Hynix ผู้นำด้านการผลิต Memory Chip ชั้นนำของโลก งบดีกว่าคาดทั้งยอดขาย(+42%YoY) และกำไรจากการดำเนินงาน(+158%YoY) บริษัทแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการและผลประกอบการบริษัทในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ บริษัทยังคาดว่ากลุ่ม Big Tech จะลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการลงทุน AI จากภาครัฐ จะช่วยหนุนความต้องการ Memory Chip ขั้นสูงของบริษัทอย่าง HBM เติบโตต่อไป
ข้อมูลจาก Counterpoint Research ล่าสุดพบว่า SK Hynix มีส่วนแบ่งการตลาดราว 70% ของตลาด HBM ในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา บ่งชี้ความเป็นผู้นำในตลาด HBM ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องติดตามคือการรายงานงบของกลุ่ม Big Tech ว่าจะยังคงแผนลงทุนใน AI Infrastructure ต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้าหรือไม่ ซึ่งหากมีการลด/ชะลอการลงทุนอาจกดดันการฟื้นตัวของ SK Hynix ได้เช่นกัน
น้ำมันดิบ WTI ร่วงลงแรง หลังมีรายงานว่ากลุ่ม OPEC+ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนมิ.ย. เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยมีสมาชิกบางรายเสนอให้เพิ่มกำลังการผลิต 411,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ กลุ่ม OPEC+ มีกำหนดประชุมในวันที่ 5 พ.ค.เพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกครั้ง นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาดและความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันของอิหร่านและเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาดโลก ก็เป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันเช่นกัน
Outlook & Implication
ตลาดหุ้นโลกยังคงมีความผันผวนสูงทั้งด้านบวกและลบ ตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีน นอกจากนี้ การรายงานงบ 1Q25 อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนสูงขึ้นตามผลประกอบการที่ออกมาเช่นกัน
แนะนำกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศ (SCBFP/SCBSFFPLUS) และต่างประเทศ (SCBINCA) เพื่อรักษาสภาพคล่อง และรอจังหวะเพิ่มน้ำหนักหุ้นเมื่อความผันผวนลดลง
ส่วนกองทุนหุ้นต่างประเทศ ยังคงเน้นกลุ่มที่คาดว่า จะมีความผันผวนน้อยกว่าภาวะโดยรวม เช่น หุ้นโลกเชิงคุณภาพ (SCBGQUAL(A)), Value (SCBGVALUE(A)) และ Low Volatility (SCBLEQA) เป็นต้น
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500 (SCBS&P500A) และ NASDAQ 100 (SCBNDQ(A)) มีการฟื้นตัวกลับที่เร็วและแรง แนะนำให้รอสะสมในจังหวะที่ตลาดย่อตัวอีกครั้ง
แหล่งที่มา : SCBAM
แหล่งข้อมูล : บล.เว็ลธ์ เมจิก